งานวิจัยที่ดำเนินการอยู่
มูลนิธิไทยโรดส์ อยู่ระหว่างการดำเนินงานศึกษาวิจัยในโครงการต่างๆ ตลอดจนการสนับสนุนงานวิจัยต่างๆ
มูลนิธิไทยโรดส์ อยู่ระหว่างการดำเนินงานศึกษาวิจัยในโครงการต่างๆ ตลอดจนการสนับสนุนงานวิจัยต่างๆ ตามประเด็นสำคัญด้านความปลอดภัยทางถนนในประเทศไทย ได้แก่ พฤติกรรมเสี่ยงของผู้ใช้รถใช้ถนน วัฒนธรรมความปลอดภัย การติดตามและประเมินผลมาตรการหรือกิจกรรมด้านความปลอดภัยทางถนน
โครงการศึกษาพฤติกรรมการใช้รถใช้ถนนกับความแตกต่างระหว่างวัย (Generation)
สืบเนื่องจากกลุ่มประชากรที่เป็นกลุ่มเสี่ยงของสถานการณ์ การเสียชีวิตอุบัติเหตุทางถนนในประเทศไทย ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มช่วงวัยรุ่น (15-24 ปี) และกลุ่มวัยทำงาน (25-49 ปี) ตามลำดับ ประกอบกับสัดส่วนการเสียชีวิตในกลุ่มผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) มีแนวโน้มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันนั้น มีข้อถกเถียงถึงพฤติกรรมการใช้รถใช้ถนนของคนไทยที่อ้างอิงตามแหล่งข้อมูลสถิติสถานการณ์อุบัติเหตุทางถนนของประเทศไทย โดยเฉพาะการรับรู้และทัศนคติต่อกลุ่มพฤติกรรมเสี่ยงที่มีโอกาสหรือทำให้เกิดอุบัติเหตุทางถนนได้เพิ่มขึ้นบนฐานความคิดความเชื่อและทัศนคติเชิงอคติที่พาดพิงอ้างถึง “กลุ่มช่วงวัย” ที่เป็นลักษณะเชิงเหมารวมและตีตราทางสังคม (Stereotype) อาทิ กลุ่มวัยรุ่นนักขับมือใหม่ กลุ่มผู้สูงวัยสภาพเสื่อมถอยของร่างกายและจิตใจ เป็นต้น
ในขณะที่งานศึกษาของต่างประเทศโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา มีการพิจารณาถึงพฤติกรรมการขับขี่ผ่านการจัดช่วงความแตกต่างระหว่างวัย (Generation) เพื่อศึกษากลุ่มผู้ขับขี่ชาวอเมริกันช่วงวัยต่างๆ มีพฤติกรรมการขับขี่เป็นอย่างไร ซึ่งผลการสำรวจมีข้อสังเกตที่น่าสนใจ พบว่า กลุ่ม Baby Boomers เป็นผู้มีพฤติกรรมขับขี่ดีที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับ 3 กลุ่ม จากสัดส่วนการได้รับใบสั่งการใช้ความเร็ว การใช้โทรศัพท์มือถือในการขับขี่ การดื่มแล้วขับ รวมถึงกลุ่ม Generation Z แม้จะอายุน้อยที่สุดบนท้องถนนแต่ไม่ได้มีพฤติกรรมที่แย่ที่สุดในอเมริกา พบว่า เป็นกลุ่มที่ระมัดระวังเรื่องเมาแล้วขับมากที่สุด ในขณะที่ กลุ่ม Generation Y หรือ Millennials นั้น กลายเป็นกลุ่มที่มีพฤติกรรมขับขี่แย่ที่สุด ทั้งจำนวนอุบัติเหตุทางถนนที่เกิดขึ้นและการฝ่าฝืนกฎ เช่น การใช้ความเร็ว การใช้โทรศัพท์มือถือ การดื่มแล้วขับ การฝ่าไฟแดง เป็นต้น
ในขณะที่ประเทศไทยเมื่อสืบค้นถึงข้อมูลสถิติคดีจราจร โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อสะท้อนสถานการณ์ข้อมูลสถิติและสัดส่วนการออกใบสั่ง พบว่า มีเพียงข้อมูลสถิติการออกใบสั่งความเร็วทั่วประเทศ ซึ่งบ่งบอกเพียงจำนวนใบสั่งความเร็วรวมทั้งสิ้น 11.8 ล้านใบ แต่ไม่มีการลงลึกว่าผู้กระทำผิดเป็นกลุ่มช่วงวัยใด อีกทั้ง ไม่พบงานศึกษาในไทยที่มุ่งพิจารณาความแตกต่างระหว่างช่วงวัยที่อาจมีความเชื่อมโยงถึงความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุทางถนนได้ ในขณะที่ผลการศึกษาในต่างประเทศมีหลักฐานปรากฏว่าลักษณะบุคลิกภาพและทัศนคติต่อความปลอดภัยทางถนน ส่งผลต่อพฤติกรรมเสี่ยงและการเกิดอุบัติเหตุที่แตกต่างกันทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอายุและประสบการณ์ของผู้ขับขี่ โดยเฉพาะทัศนคติเชิงบวกต่อเรื่องความปลอดภัยทางถนนที่สัมพันธ์ต่อพฤติกรรมขับขี่ที่จะทำการละเมิดและผิดพลาดลดน้อยลงได้ในทั้งกลุ่มวัยรุ่น ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ
จากประเด็นและข้อสังเกตเกี่ยวกับพฤติกรรมการขับขี่ข้างต้น จึงเกิดแนวความคิดการศึกษาพฤติกรรมการใช้รถใช้ถนนระหว่างวัย (Generation) ในประเทศไทย โดยจำแนกเป็น 4 กลุ่ม คือ 1.กลุ่ม Baby Boomers 2.กลุ่ม Generation X 3.กลุ่ม Generation Y หรือ Millennials และ 4.กลุ่ม Generation Z โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับ การรับรู้ ทัศนคติและพฤติกรรมของผู้ขับขี่ที่มีความแตกต่างระหว่างวัย (Generation) อีกทั้ง การศึกษาความต้องการของรูปแบบวิธีการและมาตรการความปลอดภัยทางถนนที่เหมาะสมของแต่ละกลุ่มช่วงวัย นำไปสู่การพัฒนาและออกแบบรูปแบบวิธีการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรณรงค์ประชาสัมพันธ์และมาตรการความปลอดภัยทางถนนของแต่ละกลุ่มช่วงวัยได้
โครงการ “การศึกษาผลกระทบของโรคหยุดหายใจขณะหลับกับโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุทางถนน”
ปัญหาอุบัติเหตุทางถนนเป็นหนึ่งในปัญหาหลักที่สำคัญของประเทศไทย จากรายงานสถานการณ์โลก ด้านความปลอดภัยทางถนน ปี พ.ศ. 2561 (Global Report on Road Safety 2018) ซึ่งจัดทำโดย World Health Organization (WHO) พบว่า ประเทศไทยมีจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนเฉลี่ยปีละ 22,491 คน (60 คนต่อวัน) ซึ่งสูงเป็นอันดับที่ 9 ของโลก และเป็นประเทศที่มีผู้เสียชีวิตสูงที่สุดอันดับหนึ่ง ในเอเชียและในภูมิภาคอาเซียน ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะมีการดำเนินนโยบายต่าง ๆ เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุ และการบังคับใช้กฎหมายเพื่อความปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น เข่น การจำกัดความเร็วในการขับขี่ หรือห้ามทำการขับขี่ขณะมึนเมาหรือมีแอลกอฮอล์ในเลือดเกินปริมาณที่กำหนด และสำหรับพนักงานขับขี่รถโดยสารสาธารณะ รถตู้โดยสารสาธารณะ หรือรถบรรทุก ถึงแม้ว่าจะมีการกำหนดจำนวนชั่วโมงในการทำงาน ตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 อัตราการเกิดอุบัติเหตุและจำนวนผู้เสียชีวิตในประเทศก็ยังคงอยู่ในระดับสูง
นอกเหนือจากนี้ ในการขออนุญาตสำหรับผู้ขับรถสาธารณะทุกประเภท มีข้อกำหนดเกี่ยวกับโรคประจำตัวซึ่งระบุไว้อย่างกว้างเท่านั้นว่า ไม่เป็นผู้มีโรคติดต่ออันเป็นที่รังเกียจ แต่ไม่มีการพูดถึงโรคที่มีผลกระทบต่อการนอนหลับ ซึ่งอาจส่งผลทางตรงและทางอ้อมต่อประสิทธิภาพการขับขี่ เช่น ส่งผลให้นอนหลับไม่เพียงพอ เกิดอาการง่วงขณะขับขี่รถ ตัวอย่างของโรคที่มีผลกระทบต่อการนอนหลับที่สำคัญ ได้แก่ ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea, OSA) ซึ่งในงานวิจัยทางการแพทย์และความปลอดภัยทางถนน ระบุไว้ว่ามีผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการขับขี่
ดังนั้น โครงการวิจัยนี้จึงได้ทำการทบทวนข้อมูลและแนวทางการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะหยุดหายใจขณะหลับและโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุทางถนน จากงานศึกษาวิจัยในต่างประเทศ และดำเนินการศึกษาวิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงจากผู้ขับขี่รถโดยสารสาธารณะในประเทศไทยที่ได้รับการตรวจวินิจฉัยแล้วว่ามีภาวะของโรคหยุดหายใจขณะหลับที่จะส่งผลต่อประสิทธิภาพการขับขี่ยานพาหนะ เพื่อลดปัญหาการเกิดอุบัติเหตุที่เกิดจากการง่วงนอนขณะขับรถและการหลับใน
โครงการศึกษาลักษณะการเกิดอุบัติเหตุของรถจักรยานยนต์จากข้อมูลการสำรวจขนาดใหญ่ (Large-scale survey)
เป็นที่ยอมรับกันว่ารถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะที่อันตรายมากที่สุดบนท้องถนน และผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนในประเทศไทยส่วนใหญ่เกิดจากอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ องค์ความรู้จากการศึกษาในประเทศไทยจนถึงปัจจุบัน สะท้อนให้เห็นถึงประเด็นปัญหาด้านความปลอดภัยของการใช้รถจักรยานยนต์เพียงบางส่วน อาทิเช่น เพศและอายุของผู้ขับขี่ที่ประสบเหตุ การมีใบอนุญาติขับขี่ การใช้หมวกนิรภัย การเปิดไฟหน้ารถ และพฤติกรรมเสี่ยงอื่นๆ
งานวิจัยชิ้นนี้เป็นการศึกษาลักษณะการเกิดอุบัติเหตุของรถจักรยานยนต์ในแง่มุมต่างๆ เพิ่มเติม โดยอาศัยข้อมูลจากการสำรวจขนาดใหญ่ (Large-scale survey) จากการสัมภาษณ์ผู้บาดเจ็บที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เช่น รูปแบบการเดินทางของผู้ประสบเหตุ ลักษณะของตัวรถจักรยานยนต์ที่ประสบเหตุ ถนนและสภาพแวดล้อม ณ จุดเกิดเหตุ รูปแบบการชนที่เกิดขึ้น เป็นต้น ซึ่งจะเป็นพื้นฐานสำคัญที่ช่วยเชื่อมโยงไปสู่ปัจจัยหรือสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์และการบาดเจ็บที่ชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อหาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่เป็นรูปธรรมต่อไป งานวิจัยนี้ดำเนินงานโดยคณะผู้วิจัยจากสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ภายใต้การสนับสนุนของมูลนิธิไทยโรดส์ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
มาตรการลดความเสี่ยงอุบัติเหตุชนท้าย
ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 35 สายธนบุรี-ปากท่อ หรือถนนพระรามที่ 2 มีระยะทางรวมประมาณ 84 กิโลเมตร เป็นถนนเส้นทางหลักที่ออกจากกรุงเทพมหานคร มุ่งสู่ภาคใต้ของประเทศไทย โดยตัดผ่าน จังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสงคราม และจังหวัดราชบุรี ทำให้มีปริมาณการจราจรค่อนข้างสูงตลอดทั้งสัปดาห์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวันหยุดทำงาน จะมีปริมาณการจราจรมากกว่าวันปกติ และเมื่อมีปริมาณการจราจรสูง จึงมีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุเพิ่มมากขึ้นด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุบัติเหตุที่มีลักษณะการชนแบบชนท้าย (Rear-end collision) ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นบ่อยบนท้องถนนที่ผู้ขับขี่มักใช้ความเร็วและมีปริมาณการจราจรสูง จากข้อมูลสถิติของระบบสารสนเทศอุบัติเหตุบนทางหลวง (HAIMS) ของกรมทางหลวง พบว่า สถิติการเกิดอุบัติเหตุลักษณะการชนแบบชนท้ายบนถนนพระรามที่ 2 ตลอดทั้งสาย ในช่วงปี พ.ศ.2554-2558 มีจำนวนทั้งสิ้น 621 ครั้ง จากจำนวนอุบัติเหตุทุกรูปแบบที่เกิดขึ้นทั้งหมด 1,847 ครั้ง หรือคิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 3 ของอุบัติเหตุทั้งหมด จึงถือได้ว่าอุบัติเหตุการชนแบบชนท้ายเป็นปัญหาสำคัญที่ควรได้รับการป้องกันและแก้ไข เพื่อลดความสูญเสียต่อทั้งชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึงความสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจจากการเสียเวลาในการเดินทางเนื่องจากการจราจรติดขัดในช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุ
สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุลักษณะการชนแบบชนท้าย มักเกิดจากพฤติกรรมการขับขี่ของผู้ขับขี่ที่ขับรถตามหลังเว้นระยะห่างระหว่างรถของตนเองกับรถคันหน้าไม่เพียงพอ ดังนั้น แนวทางการลดความเสี่ยงอุบัติเหตุจากการชนท้าย คือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ขับขี่ที่ขับรถตามหลังให้เว้นระยะห่างระหว่างรถตนเองกับรถคันหน้าอย่างเพียงพอ โดยมีวิธีที่จะทำให้ผู้ขับขี่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมดังกล่าวมีด้วยกันหลากหลายวิธี แต่ในการศึกษานี้จะพิจารณาในส่วนของการติดตั้งเครื่องหมายบนผิวจราจรแบบ “Transverse Bar” เพื่อให้ผู้ขับขี่ที่ขับรถตามหลังกันสังเกตเห็น และเว้นระยะห่างจากรถตนเองกับรถคันหน้าให้เพียงพอและเหมาะสม ซึ่งการกำหนดระยะห่างที่เหมาะสมนั้น จำเป็นต้องพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น ความเร็วจริงบนท้องถนน ความเร็วจำกัดตามกฎหมาย ปริมาณการจราจร เป็นต้น งานวิจัยนี้ดำเนินงานโดยคณะผู้วิจัยจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ร่วมกับกรมทางหลวง
รถแรง อเนกประสงค์ และบรรทุกหนัก: ภัยเสี่ยงอุบัติเหตุของรถกระบะในสังคมไทย
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า “รถกระบะ” เป็นพาหนะที่ส่งเสริมการพัฒนาด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทย และมีบทบาทสำคัญต่อวิถีชีวิตคนไทยเป็นอย่างมาก ส่วนหนึ่งอาจเนื่องมาจากการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตในอัตราต่ำกว่ารถยนต์นั่งและมีรูปแบบการใช้งานที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม เศรษฐกิจและบริบทสังคมไทย อย่างไรก็ตาม ยอดการจำหน่ายรถกระบะที่เติบโตขึ้นไปในทิศทางเดียวกันความรุนแรงของอุบัติเหตุทางถนน และอัตราการบาดเจ็บและเสียชีวิตที่เพิ่มมากขึ้น ถึงแม้ว่า รถกระบะเป็นประเภทรถอันดับสามที่เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนไทย รองจากจักรยานยนต์และรถยนต์นั่งตามลำดับ แต่สาเหตุการเกิดอุบัติเหตุของรถกระบะที่สำคัญ มักจะเกิดขึ้นจากพฤติกรรมเสี่ยงและความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เช่น พฤติกรรมการใช้ความเร็ว การใช้งานรถกระบะที่ไม่เหมาะสม เช่น การบรรทุกหนัก การโดยสารท้ายกระบะ การดัดแปลงสภาพรถ เป็นต้น ในขณะที่รัฐบาลก็ไม่ได้นิ่งนอนใจต่อปรากฎการณ์ดังกล่าว ได้แสดงเจตนารมณ์และความห่วยใยต่อกลุ่มผู้ใช้รถกระบะ โดยในช่วงเดือนเมษายน 2560 มีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติเกี่ยวกับการรณรงค์ห้ามนั่งท้ายกระบะรถและห้ามนั่งแค็บ รถกระบะสองประตู ถึงกระนั้น ไม่สามารถดำเนินการผ่านการบังคับใช้กฎหมายได้อย่างแท้จริงจากกระแสต่อต้านของประชาชนทั่วไปที่มองว่ากฎหมายสวนความเป็นจริงกับวิถีชีวิตของกลุ่มผู้ใช้รถกระบะโดยส่วนใหญ่
ดังนั้น มูลนิธิไทยโรดส์ ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้เล็งเห็นความสำคัญของปัญหาอุบัติเหตุรถกระบะในสังคมไทยดังกล่าว จึงพัฒนาและจัดทำโครงการวิจัยดังกล่าว โดยมุ่งหวังให้การศึกษาเกี่ยวกับปัญหาความปลอดภัยของการใช้รถกระบะนี้ จะนำไปสู่การกำหนดทิศทางและแนวทางแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้อย่างตรงจุด และส่งเสริมความรู้ความเข้าใจถึงความไม่ปลอดภัยในการใช้กระบะผิดวัตถุประสงค์ เพื่อนำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและรูปแบบการใช้งานรถกระบะของคนไทยให้เหมาะสมต่อไปในอนาคตได้
การศึกษาการวางแผนและดำเนินการระบบตรวจจับความเร็วอัตโนมัติในประเทศไทย
ปัญหาอุบัติเหตุทางถนนนับเป็นปัญหาสังคมที่สำคัญที่ก่อให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ในปัจจุบันสถานการณ์อุบัติเหตุจากการจราจรและขนส่งมีแนวโน้มที่สูงขึ้น จากสถิติอุบัติเหตุทางถนนของสำนักอำนวยความปลอดภัย กรมทางหลวง พบว่า ร้อยละ 73 ของอุบัติเหตุบนทางหลวงมีมูลเหตุสันนิษฐานจากการขับรถเร็วเกินอัตราที่กำหนด โดยปัญหาการขับขี่ด้วยความเร็วเกินขีดจำกัดความเร็วที่กฎหมายกำหนด นับเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วไปในประเทศไทย สาเหตุเกิดจากการกำหนดขีดจำกัดความเร็วที่ไม่เหมาะสมกับประเภทลักษณะการใช้งานของถนนและการใช้ประโยชน์ที่ดินสองข้างทาง รวมทั้งขาดการบังคับใช้กฎหมายที่เคร่งครัด ซึ่งจากรายงานขององค์การอนามัยโลก (WHO) ได้จัดให้ความชัดเจนของการบังคับใช้กฎหมายควบคุมความเร็วในประเทศไทยอยู่ในระดับที่ต่ำเมื่อเทียบกับการบังคับใช้กฎหมายด้านความปลอดภัยทางถนนในประเด็นอื่น (WHO, 2013) โดยการบังคับใช้กฎหมายควบคุมความเร็วในประเทศไทยที่ไม่มีประสิทธิภาพสาเหตุเกิดจากการขาดแคลนบุคลากรและเครื่องมือในการบังคับใช้กฎหมาย
ในช่วงที่ผ่านมา ระบบเทคโนโลยีตรวจจับความเร็วอัตโนมัติได้ถูกนำมาติดตั้งและดำเนินการบนทางหลวงในประเทศไทยอย่างแพร่หลาย หน่วยงานที่รับผิดชอบในงานด้านความปลอดภัยทางถนนได้เสนอแนะมาตรการการบังคับใช้ความเร็วและนำระบบตรวจจับความเร็วอัตโนมัติมาดำเนินการ ซึ่งทั้งนี้แนวทางการดำเนินการของระบบตรวจจับความเร็วอัตโนมัติของแต่ละหน่วยงานมีขั้นตอนการวางแผนและดำเนินการ ข้อจำกัดและอุปสรรคในการนำไปปฏิบัติจริงที่แตกต่างกัน ดังนั้น เพื่อให้ระบบตรวจจับความเร็วอัตโนมัติในประเทศไทยมีแนวทางการดำเนินการ การบูรณาการ และการดำเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ การศึกษาทบทวนบทเรียนการดำเนินการของระบบตรวจจับความเร็วอัตโนมัติบนทางหลวงที่มีอยู่จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อพัฒนาเป็นแนวทางการดำเนินการของระบบตรวจจับความเร็วอัตโนมัติในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศต่อไปในอนาคต งานวิจัยนี้ดำเนินงานโดยคณะผู้วิจัยจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ภายใต้การสนับสนุนของมูลนิธิไทยโรดส์ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ